( fic prince of tennis yaoi ) FATE - ( fic prince of tennis yaoi ) FATE นิยาย ( fic prince of tennis yaoi ) FATE : Dek-D.com - Writer

    ( fic prince of tennis yaoi ) FATE

    TezuxFuji , AU อาจจะหลุดคาแรคเตอร์ , เพ้อๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    2,611

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    2.61K

    ความคิดเห็น


    25

    คนติดตาม


    15
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ก.ย. 52 / 20:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ถ้า....เทะสึกะและฟูจิไม่เคยเจอกันมาก่อน............

    แล้ว.......ต้องบังเอิญได้ที่นั่งข้างกันบนเครื่องบนแบบนี้...........

    ผลที่จะเกิดตามมาก็คือ???

    พล๊อตเริ่มเรื่องมีแค่นั้นค่ะ แต่มันยาว ย้าาาว ยาว

    ทำไมมันแบ่งเป็นตอนๆนะ

    ก็เพราะมันจะดองค่ะ...

    ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       

       

      เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องทำให้ใครหลายคนที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินลำดังกล่าวต้องรีบตรวจเช็คข้าวของก่อนจะตรงไปที่ทางออกขึ้นเครื่อง ซึ่งบัดนี้.....หนาแน่นไปด้วยผู้โดยสารมากหน้าหลายตา

        

      ชายหนุ่มร่างสูงเคาะปลายนิ้วกับที่จับของราวทางเลื่อนเบาๆ นัยน์ตาเคร่งขรึมที่มองตรงไปด้านหน้าอย่างมุ่งมั่นรวมถึงคิ้วได้รูปที่ขมวดมุ่นน้อยๆ ชวนให้ผู้ที่มองเห็นเข้าใจไปว่ากำลังคิดเครียดกับบางสิ่งตลอดเวลา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว......นั่นเป็นเพียงความรู้สึกเดียวที่้เลือกแสดงออก

        

      เพียงก้าวเดียวที่จะพ้นจากทางเลื่อน ร่างเบื้องหลังกลับขยับชนจนตั๋วโดยสารในมือร่วงลง น้ำเสียงรื่นหูเอ่ยคำขอโทษเป็นภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะขณะที่เจ้าตัวก้มลงช่วยรับผิดชอบโดยการเก็บตั๋วใบนั้นขึ้นมา

        

      ซุ่มซ่าม....หากจะให้เขานิยามอีกฝ่ายในจังหวะนั้นก็คงไม่พ้นคำนี้ เพราะทันทีที่ก้มลงช่วยเก็บก็กลายเป็นว่าพลอยทำบัตรของตัวเองร่วงลงด้วยเสียอย่างนั้น

        

      ความวุ่นวายย่อมๆเกิดทันทีที่ต้องหยุดเดิน เทะสึกะรีบเก็บตั๋วขึ้นมา แล้วรีบสาวเท้ายาวๆให้พ้นจากการกีดขวางทาง ความนึกคิดเกี่ยวกับคนที่ชนจนเกิดเรื่องวุ่นค่อยเลือนหายไปจากหัว ขณะที่มุ่งตรงไปยังจุดที่ตั๋วกำหนด

       

       ++++++++++++++++++++++++++++++++

       

      ทะเลมนุษย์ที่ต่อแถวรอขึ้นเครื่องนั้นทำให้อดจะถอนใจไม่ได้ ไม่รู้ทำไมกำหนดกลับของเขาถึงไปตรงกับช่วงเทศกาลกีฬาสำคัญที่เล่นทำให้ที่นั่งเต็มเกือบหมดทุกเที่ยวบินแบบนี้  แถมกว่าจะมาถึงก็ต้องอยู่บนถนนที่รถติดชนิดเคลื่อนไม่ได้อยู่เป็นนาน

       

      ยกตั๋วโดยสารในมือขึ้นดูแก้เบื่อ และความเบื่อก็เปลี่ยนเป็นความแปลกใจสงสัยในเสี้ยววินาที

        

      FUJI  SYUSUKE

        

      ชื่อที่พิมพ์ไว้หรานั่นไม่มีทางเป็นของเขาไปได้ แม้เที่ยวบินจะเป็นเที่ยวเดียวกันก็เถอะ เป็นไปได้อย่างเดียวว่าสลับกันตอนทำตั๋วหล่นแน่

       

       แล้วเขาจะไปหาคนที่ชื่อตามตั๋วนี่ เพื่อแลกตัวคืนได้ยังไง................

       

       +++++++

       

        

      "ชื่อในตั๋วไม่ตรงกับพาสปอร์ตค่ะ"

       

      น้ำเสียงสุุภาพเอ่ยบอกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ พนักงานสาวสวยยื่นตั๋วและพาสปอร์ตคืนให้คนตรงหน้าที่ดูจะยังงงๆ อาการก้มมองทำให้เส้นผมสีอ่อนตกระใบหน้า เห็นเพียงปลายคางเรียวได้รูป รับกับปลายจมูกและริมฝีปากสีเรื่อ

        

      "เทะสึกะ.....คุนิมิตสึ......ในตั๋วเขียนไว้แบบนั้นใช่ไหม"

        

      ใบหน้าที่หันมานั้นหวานละมุน หากดวงตาสีฟ้าเฉลียวฉลาดกลับเสริมเครื่องหน้าให้ดูเฉียบคม คิ้วเรียวเลิกขึ้นก่อนจะอุทานเป็นภาษาอังกฤษเบาๆทันทีที่ตั๋วอีกใบถูกยัดเยียดให้

        

      "ขอบคุณครับ....ผมรีบมากจนไม่ทันได้ดูตั๋วเลย"

        

      เจ้าของชื่อฟูจิ ชูสึเกะยกยิ้มบาง หากเพียงรอยรื่นรมย์ในดวงตา รอยยิ้มจางๆนั่นกลับทำให้คนเห็นรู้สึกราวกับว่ารอบกายสว่างไสวขึ้นทันใด

        

      "ไม่เป็นไร"

        

      ++++++++

       

       

      ที่นั่งติดหน้าต่างคือที่นั่งที่เขาเลือกตั้งแต่ที่ทำการเช็คอินออนไลน์ เครื่องทะยานขึ้นฟ้ามาได้พักใหญ่และสัญญาณให้นั่งรัดเข็มขัดอยู่กับที่ก็ดับไปนานแล้ว จึงสามารถที่จะลุกเดินไปไหนได้โดยไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ทว่า....คนที่นั่งข้างด้านติดทางเดินและดูเหมือนจะม่อยหลับไปทันที....กลับเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้แต่นั่งนิ่ง

        

      แพขนตาสีดำสนิททาบลงตัดกับผิวหน้าขาวจัดและอาการหลับไม่รู้เรื่องทำให้พลอยคิดไปถึงปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ปัดความรู้สึกนี้ไปไม่พ้นเสียที

      :

       

      "รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ"

       

      เมื่อเป็นไฟท์ที่บินยาวจึงเริ่มจากการเสริฟเครื่องดื่มและของขบเคี้ยว ก่อนจะตามมาด้วยอาหารจริงจัง รถเข็นที่มีเครื่องดื่มหลายหลากเลื่อนมาถึง รอยยิ้มการค้าส่งมาพร้อมกับอาการก้มตัวลงน้อยๆของแอร์โฮสเตสสาวสวย เทะสึกะเลือกไวน์ขาวมาดื่มแก้เซ็ง หากก็ไม่วายมองไปยังคนที่ยังหลับอยู่ข้างๆอย่างลังเล

        

      "แล้วอีกท่านล่ะคะ"

        

      เธอถามราวกับว่าเขากับคนข้างๆเดินทางด้วยกันเสียอย่างนั้น และก็ดูเหมือนคำถามจะดังไปถึง เมื่อเปลือกตาบางขยับปรือขึ้นช้าๆ

        

      "คุณ....จะดื่มอะไร"

        

      ถามไปแล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เขาอยู่นิ่งๆปล่อยให้แอร์ทำหน้าที่ไปก็ได้ แต่พออีกฝ่ายลืมตาขึ้น บังเอิญที่สบตากันเข้าเสียอย่างนั้น

       

      "น้ำแอปเปิ้ล......." จะด้วยยังง่วงอยู่หรือเหตุผลกลใดก็ไม่อาจรู้ น้ำเสียงนุ่มตอบแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆอย่างมีมารยาท ก่อนจะขยับตัวตรงแล้วจิบน้ำผลไม้เพิ่งได้มาช้าๆ

       

      "คุณ.....ไม่เป็นไรนะ"

       

      ดวงตาสีฟ้ามองมาอย่างหลากใจ คำถามนั้นแสนสุภาพ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่คนเพิ่งรู้จักกันจะถามไถ่ เว้นเสียแต่ว่าอาการเขามันหนักหนา

       

      "ครับ....ผมไม่เป็นไร"

       

       

      ที่ผ่านมามีแต่คนอื่นเป็นฝ่ายชวนเขาคุย ทำไมคราวนี้ถึงกลับกันนะ

       

      บทสนทนาแสนสั้นจบลงพร้อมกับความเงียบที่น่าอึดอัด เทะสึกะก้มลงหยิบนิตยสารบรรดามีตรงกระเป๋าหน้าที่นั่งขึ้นมาเปิดผ่านๆได้สักพัก หันมองอีกที...อีกฝ่ายก็เอนพิงพนักหลับไปอีกหน

        

      +++++++++++

       

      "เนื้อ หรือ ปลาคะ"

       

      อาหารมื้อแรกเริ่มเสริฟพร้อมกับสองทางเลือก เทะสึกะมองเมนูที่เป็นแผ่นกระดาษพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษกำกับไว้อย่างชั่งใจ

        

      ความจริง จะอะไรมันก็อาหารแช่แข็งแล้วอุ่นใหม่เหมือนกันทั้งนั้น 

       

      "รับอะไรคะ"

        

      "ปลา"

        

      ข้าวหน้าปลาไหลในถ้วยเมลามีนห่อปิดด้านหน้าไว้ด้วยฟอยล์และเครื่องเคียงจำพวกสลัด ผลไม้ ของหวานยื่นส่งให้ ก่อนที่พนักงานสาวจะแสดงความปรารถนาดี

        

      "อีกท่านล่ะคะ"

        

      เทะสึกะเงยหน้ามองและพบว่าพนักงานสาวคนเดิมที่เสริฟเครื่องดื่มมองมายังเขาโดยตรง ชายหนุ่มลอบถอนใจบาง

       

      “ยังครับ”

       

      ก็ใครจะไปซี้ซั๊วสั่งให้ได้

       

      “รอเขาตื่นก่อน”

       

      พอตอบไปแบบนั้น ร่างที่ฟุบหลับก็ขยับตัวเบาๆ ศีรษะได้รูปซบเอียงมาจนถึงบ่าของเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าตัวรู้สึกตัวตื่นขึ้น ดวงตาสีฟ้าที่ฉายแววง่วงงุนค่อยลืมขึ้นก่อนจะสะดุ้งผละห่างพร้อมกับใบหน้าซับสีเรื่อ รมฝีปากบางสวยพึมพำคำขอโทษเบาๆ เทะสึกะนิ่งมองพนักงานสาวที่ยิ้มรอราวจะเปิดโอกาสให้เขาเป็นฝ่ายถาม แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจอีกหน  

       

      “คุณ....จะเอาอะไร”

       

       

      ++++++++++++++++++

       

       

      กับงานที่ยุ่งจนกินเวลาไปเกือบหมดทำให้ชินกับการจัดการอาหารรวดเร็ว ต่างกับคนข้างๆที่ตักนู่นตักนี่กินอย่างละนิดละหน่อย แล้วก็ดื่มน้ำเปล่าตามโดยทิ้งอาหารเหลือไว้ซะมาก

       

      ไม่ได้ตั้งใจจะมอง  แต่.....แค่พอดีเหลือบเห็นเข้าหรอก

       

      "ชาสอง"

       

      เทะสึกะหันไปสั่งกับพนักงานที่เดินผ่านมา ชาร้อนกลิ่นหอมกรุ่นสองถ้วยส่งมาให้ ซึ่งเทะสึกะก็เอื้อมมือไปหยิบเลมอนฝานแว่นที่เสียบไว้ด้วยไม้สลักมาด้วย

       

       "?"

       

       สายตามองมาราวจะถามเมื่อยื่นชาที่ใส่เลมอนอีกถ้วยให้ เทะสึกะที่ตีหน้าตายเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ

        

      "ช่วยให้สดชื่นขึ้น"

       

       "ขอบคุณ"

        

      ฟูจิฉีกซองน้ำตาลเทลงในชา ซึ่งเมื่อเห็นแบบนั้น คนที่ไม่เติมอะไรอื่นลงในเครื่องดื่มจึงยื่นน้ำตาลในส่วนของตัวเองให้อีก ความร้อนจากชาทำให้ใบหน้าขาวซับสีเลือดขึ้นมาจางๆ มือเรียวแตะประคองถ้วยด้วยสองมือแล้วก้มจิบทีละน้อย รอยยิ้มอ่อนปรากฎขึ้นราวกับถูกใจ เพียงเท่านั้น ก็ทำให้ฝ่ายที่เมียงมองมาเป็นระยะแทบไม่อาจละสายตา

       

      :

       

      ทันทีที่ถาดอาหารถูกเก็บไป และไฟในเครื่องถูกปิดลงอีกหน เทะสึกะก็เปิดไฟสำหรับอ่านหนังสือแล้วหันเปิดใช้โน้ตบุคง่วนทันที จนเริ่มรู้สึกเมื่อยตา และไม่มีอะไรรีบเร่งให้ต้องจัดการแล้วจึงปิดโน้ตบุคเก็บ พร้อมกับหลับตาลงช้าๆหมายจะพักเอาแรง หากเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาเขม็ง จึงหันกลับไป

        

      คนในที่นั่งอื่นซึ่งถูกคั่นด้วยทางเดินมองมาอย่างตำหนิ เทะสึกะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรแน่ หากทันทีที่มองกลับมายังคนข้างตัวจึงเข้าใจ

        

      ดวงตาคู่สวยปิดสนิท ศีรษะพับเอียงไปอีกทาง ก่อนจะเซลงราวกับว่าจะล้มลงไปแบบนั้น คงนอนได้ไม่สบายนัก

       

       ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา?

        

      ทุกสายตาทองมาราวกับว่าเขาใจดำนักหนาที่ไม่ยอมดูแลคนข้างตัวให้ดี เทะสึกะสูดลมหายใจเข้าลึก มือข้างหนึ่งยกนวดขมับซึ่งปวดตุบเบาๆ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีวี่แววจะตื่นมาแน่ จึงตัดใจโอบไหล่อีกฝ่ายให้พิงบ่าไว้เสีย

        

      เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบอกเขาว่าอีกฝ่ายกำลังหลับลึก ส่วนเขาเอง ก็ควรถนอมแรงสำหรับการเดินทางคราวนี้เหมือนกัน

       

       +++++++++++++++++++++++++++++++

        

      "ผ้าร้อนครับ..."

       

       ทั้งที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาแท้ๆ เทะสึกะรับผ้าอุ่นร้อนมาในมือ พอดีกับที่คนที่ยังพิงบ่าเองก็รู้สึกตัวตื่นบ้าง

        

      รอยยิ้มอ่อนของพนักงานบริการที่ดูมีอายุทอดมองมาอย่างเอ็นดู แล้วถามทักเสียงนุ่ม

       

      “ผ้าร้อนไหมครับ”

       

      !

       

      ดวงตาสีฟ้าเบิกกว่างก่อนจะสะดุ้ง แต่ก็ถูกคว้าตัวไว้ก่อนจะไปชนกับถาดผ้าร้อนเสียก่อน

        

      "ระวังหน่อยสิ"

       

      ดุเสียงเบา หากก็ดูออกว่าเป็นห่วงมากกว่า พนักงานบริการอมยิ้มกับภาพตรงหน้า ก่อนจะคีบผ้าร้อนส่งให้

       

      “ขอโทษครับ”

       

      ฟูจิหันมาเอ่ยเขินๆหลังขอบคุณพนักงานเสียงแผ่ว อาการก้มหน้าก้มตาใช้ผ้าอุ่นร้อนซับตามหน้าพอเป็นพิธีก่อนจะเช็ดมือจนสะอาดนั้นกลับน่าดูทั้งที่เป็นเพียงอากัปกิริยาธรรมดา และเพียงนัยน์ตาสีฟ้าช้อนสบแล้วเบี่ยงหลบไปพร้อมกับผิวแก้มที่เป็นสีเรื่อ ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

        

      ผู้คนเริ่มกลับไปนั่งที่แทนที่จะยืนอยู่ตามทางเดิน  ไฟในเครื่องหรี่ลง ฟูจิหันมองไปยังห้องน้ำซึ่งไฟที่เป็นสีเขียวบอกชัดว่าว่าง มือขาวเอื้อมค้นของในกระเป๋าใต้ที่นั่งแล้วหยิบเอาแปรงสีฟันพร้อมยาสีฟันออกมา

       

      ร่างสูงโปร่งขยับลุก หากจังหวะนั้นเครื่องกลับสั่นจนสัญญาณให้รัดเข็มขัดสว่างวาบ รวมถึงที่เสียการทรงตัวและเซวูบล้มลง

       

      หากล้มในที่นั่งของตัวเองก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่......กลับล้มลงไปที่ตักของคนที่นั่งข้างเสียอย่างนั้น

       

      “ขอโทษครับ”

       

      วันนี้มันอะไรนักหนา ตั้งแต่สลับตั๋ว เผลอหลับพิงบ่า แล้วยังจะ-----

       

      ฟูจิขยับจะลุกกลับไปที่นั่งของตัว หากเครื่องบินก็สั่นเสียราวกับถูกพายุพัดโหมจนเกือบล้มลงอีกหน หากปราศจากอ้อมแขนของใครอีกคนซึ่งกอดรั้งไว้หลวมๆ

       

      “ขณะที่ เครื่องของเรากำลังบินผ่านบริเวณที่มีอากาศแปรปรวน ขอให้ท่านผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่ อย่าเพิ่งลุกไปไหน ขออภัยในความไม่สะดวก”


      “.............”

       

      “ลูกเรือทุกคน กลับมานั่งประจำที่”

       

      เครื่องสั่นไหวไม่หยุด กลิ่นหอมอ่อนอวลจากร่างในอ้อมกอดจนเกือบจะจรดจมูกลงไปที่เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มซึ่งระถูกหน้าอยู่รอมร่อ

       

       “ขอบคุณ........แต่ผมจะกลับไปนั่งที่”

       

      ใบหน้าหวานหันมองสบตา คำขอบคุณนั้นทำให้ได้สติ จึงรีบคลายมือออกปล่อยไป

       

      ไฟรัดเข็มขัดยังติดอยู่อีกพักใหญ่ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก้มต่ำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก อะไรบางอย่างจึงสว่างวาบขึ้นในหัว

       

      “โอเครึเปล่า”

       

      ฟูจิพยักรับทั้งที่มองปราดเดียวก็เห็นว่าสีหน้าซีดเชียวขนาดไหน เทะสึกะเอื้อมกุมมืออีกฝ่ายไว้ และเมื่อไม่เห็นอาการต่อต้านจึงดึงที่พักแขนที่ขวางไว้ไปด้านหลัง พร้อมกับรั้งให้ซบลงบนไหล่


      “หายใจเข้าลึกๆ หลับตาลงซะก็ได้ อีกเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติแล้ว”

       

      วันนี้มันอะไรนักหนา ตั้งแต่สลับตั๋ว ถูกซบบ่า ถูกแอร์และคนรอบข้างเข้าใจผิด ต้องชวนคนอื่นคุยแถมยังต้องเทคแคร์อยู่แบบนี้............

       

      แต่......ก็ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจหรอกนะ

       

       

      ++++++++++++++++++++++++++++++++


      เป็นครู่กว่าที่ทุกอย่างจะปกติ ฟูจิที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำหมุนแปรงสีฟันในมือกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด  หากจู่ๆจังกวะก้าวเดินก็สะดุด พร้อมๆกับที่ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ

       

      “คุณ.........”

       

      คนที่นั่งข้าง..........กลับมานั่งในที่นั่งของเขาเสียอย่างนั้น

       

      เทะสึกะหันกลับมา แล้วลุกยืน ก่อนจะบอกเสียงเรียบ

       

      “เข้าไปนั่งด้านใน”

       

      “...?...”

       

      “เวลาหลับจะได้พิงผนังได้”

       

      ใบหน้าคนฟังซับสีโลหิตขึ้นจางๆ ก็พอรู้ว่าเมื่อครู่สร้างความยากลำบากให้อีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ได้คิดไปถึงว่าจะยอมเปลี่ยนที่นั่งให้.................

       

      ร่างโปร่งเดินเข้าไปนั่งที่ติดหน้าต่าง ขณะก้มลงจะเอากระเป๋า อีกคนกลับก้มลงจัดการเอากระเป๋าจากใต้ที่นั่งที่เดิมมาไว้อีกที่แทน

       

      “หายเมาเครื่องรึยัง ก้มๆเงยๆเดี๋ยวก็เวียนหัวอีก”

       

      ไม่ได้รู้จัก และไม่ได้มาด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าต้องไปสนใจ.......ต้องทำอะไรต่อมิอะไรให้แบบนี้

       

       

      ++++++++++++++++++++++++++++++++++

       

       

      เวลาที่ใช้ในการเดินทางผ่านไปเกินครึ่ง อีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงที่หมาย ฟูจิที่ฆ่าเวลาและพยายามทำตัวให้ตื่นโดยการดูหนังจากจอขนาดเล็กตรงหน้าเริ่มจะง่วงและแสบตาจนอยากจะนอนพัก หากเพราะเมื่อตอนออกเดินทางเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างกระทันหันเพราะเรื่องน้องชายที่เขานัดไว้ จึงแทบไม่ได้พักผ่อนเลยก่อนหน้าที่จะมา พอไม่ได้พักผ่อน นอกจากจะง่วงแล้ว ยังมีอาการเวียนหัวและคลื่นไส้เพิ่มมาด้วย

       

      อาการขยับตัวลุกของฟูจิทำให้คนที่นั่งข้างๆลุกยืนเปิดทางตามมารยาท ใบหน้าซีดเซียวและสีหน้าไม่สู้ดีที่เห็นตอนเดินผ่านทำให้ความกังวลแล่นขึ้นมาจางๆ หากก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากไป

       

      :

      :

      :

       

      แม้จะคลื่นไส้แค่ไหน แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำได้แค่พยายามจะอาเจียน ฟูจิเปิดน้ำเย็นๆล้างหน้าและชุบเช็ดช่วงลำคอ ดวงตาสีฟ้าปิดลงนิ่ง ขณะที่ได้แต่ยืนเกาะผนังห้องน้ำเครื่องบินอย่างหมดเรี่ยวแรง

       

      เสียงเคาะประตูและคำถามเป็นภาษาอังกฤษดังมาจากอีกฟากของประตู ฟูจิลืมตาขึ้นเพื่อจะพบว่าไปเผลอกดปุ่มที่มีไว้สำหรับเรียกพนักงานบริการมาในกรณีฉุกเฉิน จึงรีบตอบปฏิเสธไปในภาษาเดียวกันว่าไม่มีปัญหา และไม่ได้เป็นอะไร.....ปลายนิ้วเรียวกดเน้นลงตรงช่วงสันจมูกใกล้ดวงตาพักหนึ่ง

       

      ปวดหัว.......เวียนหัว..........คลื่นไส้...........ทุกอย่างเกิดพร้อมกันไปหมด..........

       

      แต่พอถึงที่หมาย....ยูตะเอารถมารับ ก็จะได้กลับไปพักที่บ้านเสียที

       

      ความจริงแล้ว...........ตั้งต่พ่อมาทำงานที่ต่างประเทศ เขากับยูตะก็ติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่ยังเล็ก จนแทบไม่คุ้นกับญี่ปุ่นเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ที่ไปญี่ปุ่นคราวนั้น......ก็เพราะไปทำงานหรอก....

       

      “.....โอเครึเปล่า”

       

      ทันทีที่เปิดประตูเดินออกมาก็เจอคำถามนี้เข้า คนถามที่อยู่ตรงหน้าและก้มมองมาได้รับคำตอบเป็นอาการส่ายหน้า ตบท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อน

       

      “หน้าซีดๆนะ”

       

      เมื่อครู่ พนักงานบริการไปบอกว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่.......... สงสัยว่าเขาและฟูจิคงถูกคิดว่ามาด้วยกันไปแล้ว

       

      “ไม่ใช้ห้องน้ำเหรอครับ”

       

      น้ำเสียงหวานหูเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเมื่อถูกประคองไว้ตอนจะเดินกลับที่ และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่....หากคล้ายว่าจะได้ยินเสียงถอนใจบางๆ 

       

      “มารับ”

       

      :

      :

      :

      มื้ออาหารถัดมาเริ่มเสริ์ฟหลังกลับมานั่งที่ไม่นานนัก ฟูจิที่ทิ้งตัวพิงพนักหลับตานิ่ง ไม่รู้สึกอยากกินอะไรสักนิด หากกลับได้กลิ่นอาหารที่ชัดเจนเสียจนต้องลืมตา

       

      “กินไหวมั๊ย”

       

      ใบหน้าหวานส่ายปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มแหย

       

      “ผมคลื่นไส้.........”

       

      พูดไม่ทันขาดคำก็ต้องรีบหลับตาลงนิ่ง เทะสึกะมองดูอาการอีกฝ่ายอย่างติดจะกังวล  แล้วเรียกรั้งพนักงานที่เดินผ่านไว้ เพื่อจะสั่งอะไรสองสามคำ

       

      :

      :

       

      “มียาแก้เมาเครื่องกับซุป กินซักหน่อยดีกว่ามั๊ย”

       

      น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบเบาๆ  ฟูจิที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมองยาเม็ดเล็กพร้อมน้ำอุ่นที่ยังมีควันลอยให้เห็นซึ่งวางในถาดกับถ้วยซุปแล้วค่อยเบือนมองใบหน้าหลังกรอบแว่นของคนที่นั่งข้าง ก่อนจะว่ายิ้มๆ

       

      “คุณใจดีจัง”

       

      “ก็อาการหนักจริงๆไม่ใช่รึไง”

       

      “ผมแค่ไม่ได้นอนเท่าไหร่........” มือเรียวยื่นมาหยิบยาเม็ดไปกินพร้อมกับน้ำรวดเร็ว ก่อนจะวางกลับที่ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วหวิว

       

      “ต้องรบกวนขนาดนี้........ขอโทษจริงๆนะครับ”

       

      ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาในใจแล้วแปรเป็นความอุ่นวาบที่ยากจะบรรยายในทันที....ว่าเป็นแบบไหน.... หากก็แน่ใจว่าอยากดูแล........อยากทนุถนอมคนตรงหน้าเป็นที่สุด

       

      :

      :

      :

      :

       

      เมื่อถึงที่หมาย.......การตรวจเอกสารต่างๆไม่ยุ่งยากมากนัก และเขาก็ไม่ต้องรอรับกระเป๋า เพราะมีสัมภาระแค่กระเป๋าใบย่อมที่ติดตัวขึ้นเครื่องมาก็เท่านั้น หากก็ยังยืนเกร่รอโดยไม่ไปไหน.....เพียงเพราะเป็นห่วงใครบางคน

      :

      :

       

      คนที่ถูกเป็นห่วงโดยที่ไม่รู้ตัวลากกระเป๋าเดินทางใบโตออกมา แล้วกดมือถือโทรหาคนที่บอกว่าจะมารับหากก็ยังไม่มีวี่แววนั่นเร็วๆ

       

      “พี่นั่งรถของสนามบินออกมาได้ไหม.......ไม่รู้ทำไมรถติดนัก.....นี่ผมยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย”

       

      หลังคำขอโทษมาเป็นชุดยูตะก็รีบแนะทางแก้ ฟูจิรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าอะไรๆไม่เป็นไปตามแผน แต่ก็ไม่อยากให้น้องต้องมากังวล จึงรีบบอกปัดว่าไม่ต้องห่วง ก่อนจะเย้าแหย่อะไรไปอย่างที่เคยแล้ววางสายไป

       

      ขาสองข้างเกิดอ่อนแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้จะรู้ว่าที่ควรทำคือหารถรับจ้างไปส่งให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่อยากจะก้าวต่อเลยสักนิด ม้านั่งยาวที่อยู่ไม่ไกลนักจึงกลายเป็นเป้าหมายแทน

       

      ....หวังว่าถ้าได้พัก.............ก็คงดีขึ้น...................

       

      ............สักเดี๋ยว................

       

      กระเป๋าเดินทางติดล้อที่ลากอยู่คล้ายว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆและหยุดลงนิ่งในที่สุด ในหูแว่วเสียงเรียกใครบางคนตามมาด้วยได้ยินชื่อตัวเองซ้ำๆ ดวงตาคู่สวยกะพริบปริบ ก่อนจะจับโฟกัสได้ที่ใบหน้าเครียดขรึม

       

      “มีใครมารับรึเปล่า”

       

      เทะสึกะคว้ากระเป๋าไปจัดการให้แทนพลางเอ่ยถาม ซึ่งหากรู้ว่านัดไว้ที่ไหนเขาก็พร้อมจะไปส่ง เพียงแต่คำตอบที่ได้กลับเป็นการส่ายหน้า

       

      “เดี๋ยวผมเรียกรถกลับเอง”

       

      “ไหวแน่เหรอ”

       

      ใบหน้าเผือดสีพยักรับตบท้ายด้วยรอยยิ้มอย่างจะให้มั่นใจ คนเสนอความช่วยเหลือจึงหันไปมองหาว่าจุดที่เรียกรถของสนามบินได้นั้นอยู่ตรงไหนแน่ และทันทีที่หันกลับมา อีกฝ่ายที่รับรองไว้ดิบดีเมื่อครู่ก็ล้มฮวบจนรับไว้แทบจะไม่ทัน

       

      ++++++++++++++++++++++++

       

      “ความดันต่ำ.....พักมากๆก็พอแล้ว”

       

      “ไม่ต้องเช็คอย่างอื่นด้วยรึไง”

       

      นัยน์ตาแฝงเล่ห์กลอกวูบ แล้วหมอหนุ่มที่คบหาเป็นเพื่อนกันมานานจึงแย้มรอยยิ้มบาง

       

      “ห่วงซะขนาดนี้......คบกันมากี่ปีแล้วล่ะ.......ว่าแต่ รสนิยมนายก็ใช้ได้นี่เทะสึกะ”

       

      แกล้งเย้าคนที่ตีหน้านิ่งตลอดกาลหากก็ไม่อาจทำให้เปลี่ยนสีหน้าแม้เพียงน้อย โอชิทาริถอนใจเซ็งๆ ยิ่งชะโงกหน้าเข้าไปดูเจ้าของดวงหน้าหวานที่นอนหลับตานิ่งบนเตียงเจ้าของบ้านก็ยิ่งให้เสียดายจนเซ็งเข้าไปใหญ่ ทั้งผิวนุ่มเนียน เรียวปากได้รูปสวย เขาพลาดโอกาสจะได้สัมผัสเกินเลยจากการรักษาตรวจอาการเพราะมีคนมายืนคุมเชิงอยู่นี่ล่ะ

       

      “เจอกันที่ญี่ปุ่นเหรอ.. แล้วคนทื่อๆอย่างนายใช้วิธีไหนถึงจีบติดล่ะ”

       

      “ฟูจิต้องพักมากๆใช่ไหม”

       

      ไม่มีคำปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันหลุดมาจากปาก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นโอชิทาริยิ่งจะหาโอกาสหม้อเข้าไปใหญ่ เทะสึกที่เพิ่งจะเอ่ยประโยคแฝงความนัยเป็นการไล่ขยับเปิดทาง

       

      “ตรวจเสร็จก็ไล่เชียวนะ อย่าลืมล่ะว่านัดครั้งหน้านายต้องเลี้ยงน่ะ”

       

      อาชีพที่ทำอยู่ทำเงินให้ใช้ไม่ขาดมือก็จริง แต่ถ้ามีโอกาสได้ถลุงคนอื่นมันก็สนุกมากกว่า

       

      “รู้แล้ว”

       

       

      +++++++++++++++++++++++
       

      แสงนวลอ่อนจากไฟติดผนังส่องสะท้อนให้เห็นห้องสีครีมเข้ากับเฟอร์นิเจอร์สีเข้มขรึม ชั้นวางหนังสือไม้ทรงโบราณคลาสสิคเต็มเพียบไปด้วยหนังสือเล่มหนาหนัก  คนที่เพิ่งรู้สึกว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงและยังงัวเงียพลิกตัวหันมองซ้ายขวา ก่อนจะตื่นเต็มตาเมื่อนึกอะไรขึ้นได้

       

      ...ที่นี่......ที่ไหน?

       

      อาการลุกพรวดพราดทำให้มึนหัวจนแทบจะล้มลงไปนอนแบบเดิม ปลายนิ้วเรียวคว้ายึดเหล็กดัดเป็นลวดลายโค้งในส่วนหัวเตียงเพื่อพยุงตัวไปชั่วคราว 

       

      “นอนต่ออีกนิดจะดีกว่านะ”

       

      น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยขึ้นมานั้นคุ้นหูอย่างประหลาด  ฟูจิหันขวับแล้วก็ให้นึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือคนที่พบหน้าและมีเรื่องบังเอิญต่างๆเกิดขึ้นตั้งมากมายเมื่อตอนอยู่บนเครื่องนั้น

       

      “คุณ!

       

      “เห็นหมอบอกว่าความดันต่ำ....รู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง....”

       

      “................”

       

      คนถามเดินเข้ามาใกล้พลางพิศมองดวงหน้าที่กลับมีสีเลือดคืนมาบ้าง ก่อนจะอธิบายเมื่อเห็นความสงสัยในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น

       

      “ที่นี่อพาร์ทเมนต์ผมเอง.... เรียกผมว่าเทะสึกะก็ได้.... “

       

      “.............”

       

      “อยากให้ไปส่งที่ไหนรึเปล่า”

       

      “คุณ....พาผมมาที่นี่เหรอ”

       

      คำถามด้วยน้ำหนักเสียงเบาหวิวหลุดจากเรียวปากคู่สวยในที่สุด เทะสึกะนิ่งไป ก่อนจะออกตัวเมื่อรู้สึกว่าประโยคนั้นพาลให้นึกถึงพวกคนร้ายลักพาตัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

       

      “ขอโทษถ้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง..... ทีแรกก็แค่จะเรียกรถให้ แต่พอดี-----

       

      “เปล่าครับ.......ผมแค่........จะขอบคุณ....”

       

      ไม่บอกก็รู้ว่าทำไมเขาถึงมาหลับอยู่ที่นี่ได้  ฟูจิเงียบไปจนกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงคุ้นเคยนั่นดังมาจากสิ่งที่อีกฝ่ายถือไว้ในมือ และเขาไม่ทันเห็นในทีแรกสายตา ซึ่งเทะสึกะก็ยื่นคืนให้พร้อมกับคำอธิบาย

       

      “ขอโทษที่ต้องหยิบมันออกมา กลัวว่าจะทำให้ตื่น....”

       

      เทะสึกะทอดเสียงอ่อนในตอนปลายประโยค ก็ในเมื่อหวังดีแล้วจะว่าอะไรได้ ฟูจิยกยิ้มจางๆแทนคำว่าไม่เป็นไรก่อนจะรีบกดรับ และทันใดนั้น เสียงโวยวายก็ดังตามมาจนต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากตัว

       

      “พี่! หายไปไหนมา ผมโทรหาไม่รู้กี่รอบ! แล้วนี่พี่อยู่ที่ไหน มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

       

      “ยูตะ......ใจเย็นนะ.........”

       

      ฟูจิกล่อมคนเป็นน้องชายแล้วเหลือบมองเทะสึกะซึ่งทำท่าราวกับจะยิ้มหรือหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ก็รู้ว่ายูตะตื่นเต้นตกใจเกินไป แต่นั่นก็เพราะห่วงเขาหรอก นัยน์ตาสีฟ้าที่ติดจะดุตวัดมองคนตรงหน้าน้อยๆก่อนจะเบือนไปอีกทาง ไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางคล้ายจะปราม สำหรับคนที่มองเห็นในตอนนี้.... ไม่ได้ทำให้นึกเกรงอะไร แต่กลับไพล่ทำให้รู้สึกว่าน่าดู....ก็เท่านั้น

       

      “พี่อยู่ที่ไหน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ให้ตายเถอะ ผมน่าจะไปรับ”

       

      ยูตะถามรัวก่อนจะบ่นเป็นชุด ฟูจิจึงรีบเบรกไว้ด้วยการหาคำตอบสำหรับคำถามแรกเพื่อกันไม่ให้ต้องฟังอะไรยืดยาวอีก

       

      “เทะสึกะ.......ที่นี่ที่ไหนครับ”

       

      ชื่อไม่คุ้นหูเล่นเอาคนเป็นน้องชายต้องขมวดคิ้ววูบ ยิ่งเมื่อได้ยินคำตอบ

       

      “ให้ไปส่งไหม”

       

      คนที่เขาไม่รู้จักว่ามาแบบนั้น ก่อนที่พี่จะหัวเราะเบาๆ

       

      “ผมไม่รบกวนดีกว่า”

       

      “พี่ นี่พี่อยู่ที่ไหน กับใคร ผมจะไปรับเดี๋ยวนี้”

       

      เสียงเอ่ยทีเล่นที่จริงนั้นมีบางสิ่งต่างไปจากเวลาที่คุยกับคนอื่นทั่วไป บางสิ่งที่คล้ายกับสัญชาตญานแล่นขึ้นมาปุบปับ ยูตะขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกไม่ชอบใจและไม่ชอบหน้าเจ้าของชื่อเทะสึกะคนนั้นทั้งที่ยังไม่ได้พบกัน

       

      “พี่.....อยู่ที่บ้านเพื่อนน่ะ นายมารับก็ได้...เทะสึกะช่วยบอกที่อยู่ทีสิครับ”

       

      ฟูจิส่งโทรศัพท์ให้ไปพร้อมกับรอยยิ้มอ้อนโดยอัตโนมัติเทะสึกะจึงรับมาแล้วเอ่ยบอกที่อยู่ช้าชัดพร้อมทั้งถามที่อยู่อีกฝ่ายและแนะนำเส้นทางที่สะดวกให้ด้วย ดวงตาหลังกรอบแว่นปรายมองมายังคนบนเตียงที่ขยับจะลุกมาแต่ก็เซวูบจึงรีบร้องห้ามให้ระวัง และนั่น ก็ยิ่งทำให้ปลายสายร้อนใจมากไปอีก

       

      เสียงถามแทบเป็นตะโกนดังลอดออกมาจนเทะสึกะต้องนิ่วหน้า ชายหนุ่มส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของที่พูดอะไรไปสองสามคำว่าไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ได้เป็นอะไร หากน้องชายก็ดูเหมือนจะยังเป็นกังวลอยู่ไม่หาย

       

      “พี่ไม่ได้เป็นอะไร แค่มึนหัวนิดหน่อย.........ไม่........จะมาก็ขับรถระวังหน่อยแล้วกัน......นี่ก็นอนไปพักใหญ่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ลุกมานั่งได้แล้วด้วย......เทะสึกะให้ยืมไหล่น่ะ” รอยยิ้มอ่อนส่งให้เจ้าของมือที่ทรุดกายนั่งขอบเตียงแล้วโอบประคองให้อิงลงพิงบ่าง่ายๆ “หา.....” ใบหน้าเนียนเป็นสีจัด “คิดอะไรของนาย จะมารับก็มาอย่าพูดเรื่องเหลวไหลแบบนั้น.....ยูตะ!

       

      คำสั่งและเตือนให้ระวังตัวโดยเฉพาะให้ระวังเทะสึกะฉวยโอกาสดังติดกันเป็นชุดก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบวางหู คาดว่าคงจะแจ้นไปที่รถแล้วขับมาที่นี่แน่

       

      “น้องชาย...ดูเป็นห่วงคุณมากเลยนะ”

       

      “เรียกผมว่าฟูจิก็ได้” ฟูจิถอนใจเฮือก และเมื่อนึกถึงความกังวลของยูตะก็ให้รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าจนอดไม่ได้ที่จะขยับห่างออกมาหากก็ถูกเอ็ดเอาเบาๆ

       

      “เดี๋ยวก็เวียนหัวไปอีก” 

       

      “.................”

       

      มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ จากคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเจอหน้า แล้วจะมาสนิทกันพรวดพราด ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายและวางใจได้ก็เถอะ

       

      +++++++++++++++++++++

       

      บรรยากาศในห้องนั่งเล่นกึ่งห้องครัวนั้นก็เคร่งขรึมพอๆกับห้องนอน ฟูจิที่เพิ่งจะล้างหน้าล้างตาพอให้สดชื่นนั่งลงที่โต๊ะไม้ซึ่งมีที่นั่งเพียงสองที่ บอกชัดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีโอกาศหรือไม่มีรสนิยมต้อนรับใครที่นี่บ่อยนัก แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่คงจะดูมีชีวิตชีวามากขึ้นถ้ามีต้นไม้ดอกไม้สักนิด

       

      คิดแบบนั้นถึงนึกได้ กระบองเพชรที่ปลูกไว้หลายกระถางตอนนี้คงมีสักต้นที่ออกดอก ถ้าวางมุมเหมาะๆ คงจะทำให้ห้องดูสดใสขึ้นแน่ๆ

       

      ว่าแต่.......เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นี่สักนิด แล้วจะคิดวางแผนแบบนั้นไปเพื่ออะไร

       

      ฟูจิเบนความสนใจตัวเองโดยการก้มมองซุปในถ้วยซึ่งมีควันลอยขึ้นเป็นสาย  แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อทั้งกลิ่นหอมอย่างอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆและหน้าตานั้นแทบจะเป็นแบบเดียวกับที่บ้านทำ ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่ช้อนหากก็นึกขึ้นได้จึงเงยหน้ามองคนทำพร้อมกับก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม

       

      “ทานแล้วนะครับ”

       

      ถ้าฟูจิไม่พูดแล้วลงมือตักซุปขึ้นเป่าเบาๆเสียก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเผลอขอป้อนแล้ว เทะสึกะทรุดกายลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม แล้วจึงยกแก้วชาตรงหน้าขึ้นดื่มบ้าง

       

      “อยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ”

       

      ไม่รู้ทำไมคำว่าคนเดียวที่ได้ยินในตอนนี้ถึงมีน้ำหนักมากเหลือเกิน ทั้งที่ปกติออกจะรำคาญการอยู่ร่วมกับคนอื่น เทะสึกะพยักหน้ารับ แล้วลอบถอนใจก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางเมื่อรู้สึกว่าแทบไม่อาจถอนสายตาไปจากคนตรงหน้าได้

       

      “ผม.....รบกวนรึเปล่า.... ถ้าไง... ผมลงไปรอน้องชายข้างล่างก็ได้นะครับ”

       

      คำถามนั้นทำให้เกือบสำลักชาที่ดื่มอยู่ เทะสึกะหันขวับกลับมา ก่อนจะถามเสียงเข้ม

       

      “ทำไมคิดแบบนั้น”

       

      “ก็.....ไม่รู้ว่าผมทำให้รำคาญรึเปล่า เมื่อกี้นี้เทะสึกะถอนใจด้วย..... แล้วก็ ไม่ยอมมองหน้าผมเลย”

       

      พูดจบจึงรู้สึกว่าออกจะไม่สุภาพสักเท่าไหรที่จะวิจารณ์คนที่เพิ่งรู้จักแบบตรงไปตรงมาขนาดนั้น ฟูจิเสตักซุปขึ้นกิน พอดีกับที่

      เสียงกริ่งประตูดังขึ้น

       

      :

      :

       

      “พี่!

       

      “ยูตะ.....นี่เทะสึกะ..........เทะสึกะครับ.........นี่ยูตะ น้องชายผม”

       

      คนเป็นน้องชายที่เหมือนจะลืมมารยาททุกข้อเดินลิ่วไปยังพี่ชายซึ่งกำลังถือช้อนซุปอยู่ ใบหน้าเครียดขรึมเพ่งกวาดดูจนแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรแน่ จึงคว้าข้อมือคนเป็นพี่ แล้วจับตามเนื้อตัวเพื่อย้ำความแน่ใจอีกหน

       

      “พี่ไม่เป็นอะไร.........จริงๆนะ”

       

      ท่าทางห่วงใยมากมายจนต้องรีบบอกปัด ฟูจิมองไปทางเทสึกะที่ยืนกอดอกอยู่อีกทาง

       

      “ถ้ารีบ.....จะกลับเลยก็ได้นะ”

       

      “แต่ผมยังไม่ได้ช่วยเก็บจานให้เทะสึกะเลย”

       

      “ไม่เป็นไร”

       

      ความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นรวดเร็วในเวลาไม่เท่าไหร่ที่ใช่ร่วมกันทำให้อดใจหายไม่ได้เมื่อรู้ว่ามันจวนจะจบลง เทะสึกะอดคิดไม่ได้ว่าหากรั้งอีกฝ่ายให้อยู่อีกนิดคงเป็นความคิดที่ไม่เลวนัก แต่หากจะให้ฟูจิมาช่วยงานบ้านแบบนี้....สู้ให้ฟูจิกลับไปจะดีกว่า

       

       “ยูตะ เอากระเป๋านี่ลงไปที่รถทีนะ”

       

      คนเป็นน้องชายอิดเอื้อนคล้ายไม่อยากปล่อยให้คลาดสายตา แต่ก็จำใจทำตามนั้นแต่โดยดี ฟูจิลุกเดินไปใกล้ฝ่ายเจ้าบ้านแล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่ม

       

      “เทะสึกะ........ขอบคุณนะครับ”

       

      พร้อมกับที่เอ่ยคำนั้น มือเรียวเอื้อมแตะต้นแขนอีกฝ่ายก่อนที่ใบหน้าหวานชะโงกเข้าไปใกล้รวดเร็วจนริมฝีปากจรดลงกับข้างแก้มร่างที่สูงกว่า หากเพียงแค่ทันได้รับรู้ถึงสัมผัสบางเบาราวปีกผีเสื้อ ฟูจิก็ยั้งไว้แล้วสะดุ้งผละห่างออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

       

      “ขอโทษครับ คือ....กับที่บ้าน.....ผมใช้วิธีนี้ขอบคุณเป็นปกติ.....ก็เลยเผลอไป.....” 

       

      “...........”

       

      “ถ้าไงผมขอตัวกลับก่อน----

       

      “ฟูจิ”

       

      “ครับ?”

       

      มุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นคล้ายจะยิ้ม และในเสี้ยววินาทีถัดมา เทะสึกะก็โน้มตัวไปประทับริมฝีปากลงตรงผิวหน้าเนียนแผ่วเบา

       

      goodbye kiss น่ะ”

       

      ชายหนุ่มอธิบายพลางซ่อนยิ้มอย่างยากเย็นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังมีทีท่าประหลาดใจไม่หาย  

       

      “แล้วเจอกัน”

       

      ..ซึ่งก็น่าจะเป็นเร็วๆนี้.....เพราะทั้งเบอร์โทร ทั้งที่อยู่ของฟูจิเขาก็ได้มาหมดแล้ว..............

      :

      :

      :

      ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

       

      The enD


      จะเรียกว่าฟิคขี่ช้างจับตั๊กแตนก็ได้ค่ะ จริงๆอยากได้แค่ช๊อตฟูจูบขอบคุณเทะง่ะ เลยหาเรื่องให้ฟูป่วยซะขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ
      ขออภัยที่ใช้เวลานานมากนะคะ ไม่ใช่ไรหรอก มันยาว+ไม่ค่อยมีอะไร เลยไม่คิดว่าจะมีใครสนใจอ่านเท่าไหร่น่ะค่ะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×